การทำธุรกรรมทางการเงินในประเทศไทยมีข้อกำหนดที่ธนาคารต้องปฏิบัติตาม
ซึ่งรวมถึงการส่งข้อมูลการโอนเงินของลูกค้าไปยังกรมสรรพากรในกรณีที่เข้าเกณฑ์การโอนเงินที่กำหนดไว้
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมธนาคารต้องทำเช่นนี้ และการส่งข้อมูลนี้มีพื้นฐานทางกฎหมายอย่างไร
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงที่มาที่ไปและความสำคัญของมาตรการนี้
การส่งข้อมูลธุรกรรมทางการเงินและความสำคัญต่อกรมสรรพากร
ในปัจจุบัน ธนาคารและสถาบันการเงินจำเป็นต้องส่งข้อมูลธุรกรรมการโอนเงินของลูกค้าที่เข้าเงื่อนไขไปยังกรมสรรพากร เพื่อให้สรรพากรสามารถตรวจสอบและติดตามการทำธุรกรรมได้ตามที่กฎหมายกำหนด นโยบายนี้มีวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อ:
การป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี : การตรวจสอบธุรกรรมจะช่วยให้สรรพากรสามารถระบุและตรวจสอบแหล่งที่มาของรายได้ที่ยังไม่ได้รายงานหรือไม่ตรงตามข้อกำหนด ซึ่งช่วยลดการหลีกเลี่ยงภาษีและสร้างความเท่าเทียมในการเสียภาษี
การป้องกันการฟอกเงิน : นอกจากเรื่องภาษีแล้ว นโยบายนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันการฟอกเงิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมที่อาจมีแหล่งที่มาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
🌟 กรณีที่ 1 : การโอนเงินเกิน 3,000 ครั้ง
ถ้าคุณมีการโอนเงิน เกิน 3,000 ครั้งต่อปี ไม่ว่าจะมียอดเงินเท่าไหร่ ธนาคารจะต้องส่งข้อมูลของคุณให้กับกรมสรรพากรทันที แม้ว่ายอดโอนจะเป็นเงินจำนวนน้อยหรือไม่ได้เกินเกณฑ์ที่กำหนด แต่แค่จำนวนการโอนเกินก็ต้องส่งข้อมูลแล้วค่ะ
สรุปสั้น ๆ : โอนเกิน 3,000 ครั้ง ไม่สนใจยอดเงิน ต้องส่งข้อมูลแน่นอนค่ะ!
🌟 กรณีที่ 2 : การโอนเงินเกิน 400 ครั้ง และยอดเงินรวมต้องเกิน 2 ล้านบาท
กรณีนี้มีเงื่อนไขที่ซับซ้อนขึ้นมาเล็กน้อยค่ะ จะต้องเข้าเกณฑ์ ทั้ง 2 ข้อนี้พร้อมกัน ถึงจะต้องส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร ซึ่งมีเงื่อนไขดังนี้:
โอนเงิน เกิน 400 ครั้ง ต่อปี
มียอดเงินรวมกันเกิน 2,000,000 บาท
หากจำนวนการโอน เกิน 400 ครั้ง แต่ยอดรวมไม่ถึง 2 ล้านบาท หรือ ยอดเกิน 2 ล้านบาทแต่การโอนไม่ถึง 400 ครั้ง จะถือว่ายังไม่เข้าเงื่อนไข ดังนั้น ธนาคารจะไม่ส่งข้อมูลของคุณค่ะ
สรุปสั้น ๆ : โอนเงินเกิน 400 ครั้งและยอดรวมเกิน 2 ล้านบาท ต้องเข้าเงื่อนไขครบ 2 ข้อถึงจะส่งข้อมูล
การทำธุรกรรมที่ต้องส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรมีเกณฑ์ที่ชัดเจนเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในระบบการเงิน และเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี สำหรับธุรกิจหรือบุคคลทั่วไปที่มีการโอนเงินเป็นจำนวนมาก ควรเข้าใจว่าเมื่อใดจึงจะเข้าข่ายต้องส่งข้อมูล วันนี้เราจะยกตัวอย่างกรณีศึกษาเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนค่ะ
🌟 กรณีศึกษา 1 : ร้านค้าออนไลน์ที่มีการโอนเงินเป็นจำนวนมาก
สถานการณ์:
คุณเจนเป็นเจ้าของร้านค้าออนไลน์ที่ขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม e-commerce และรับการโอนเงินผ่านแอปธนาคารต่าง ๆ เธอมีลูกค้ามากมายและทำการโอนเงินจากลูกค้าเข้าบัญชีของเธอ มากกว่า 3,000 ครั้งต่อปี แม้ยอดเงินที่ได้รับในแต่ละครั้งจะไม่มาก แต่เมื่อรวมการทำธุรกรรมตลอดทั้งปี จำนวนการโอนเกิน 3,000 ครั้ง
ผลลัพธ์:
ในกรณีของคุณเจน ธนาคารจะต้องส่งข้อมูลการโอนเงินของเธอให้กับกรมสรรพากร เนื่องจากจำนวนการโอนเงินเกินเกณฑ์ที่กำหนดไว้ (3,000 ครั้งต่อปี) แม้ยอดเงินที่โอนไม่สูงมาก ก็ยังต้องถูกส่งข้อมูลตามกฎหมาย
สรุป: ธุรกรรมที่จำนวนการโอนเกิน 3,000 ครั้ง จะถูกส่งข้อมูลแม้ยอดเงินไม่สูงก็ตาม
🌟 กรณีศึกษา 2: เจ้าของธุรกิจที่รับเงินค่าบริการจากลูกค้ารายใหญ่
สถานการณ์:
คุณเอกเป็นเจ้าของธุรกิจที่ปรึกษาด้านบัญชี เขามีลูกค้ารายใหญ่เพียงไม่กี่ราย แต่ลูกค้าเหล่านี้ชำระเงินค่าบริการเป็นงวด ๆ โดยแต่ละงวดมีมูลค่าสูง ตลอดทั้งปี คุณเอกมีการโอนเงินเข้าบัญชี รวมมากกว่า 2,000,000 บาท แต่จำนวนครั้งที่ได้รับเงินมีเพียง 300 ครั้ง ซึ่งน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
ผลลัพธ์:
ในกรณีนี้ คุณเอกไม่เข้าข่ายที่จะต้องส่งข้อมูล เนื่องจากแม้ว่ายอดเงินรวมจะเกิน 2,000,000 บาท แต่จำนวนครั้งการโอนไม่ถึง 400 ครั้งตามเกณฑ์ ดังนั้น ธนาคารจะยังไม่ต้องส่งข้อมูลนี้ให้กรมสรรพากร
สรุป: แม้ยอดเงินเกิน 2 ล้านบาท แต่ถ้าจำนวนการโอนไม่ถึง 400 ครั้ง ก็ไม่ต้องส่งข้อมูลค่ะ
🌟 กรณีศึกษา 3: ธุรกิจร้านอาหารที่มีลูกค้าโอนเงินประจำและมียอดรวมสูง
สถานการณ์:
คุณนิดาเป็นเจ้าของร้านอาหารที่มีลูกค้าประจำ รับการโอนเงินจากลูกค้ารายวัน ทั้งแบบรายย่อยและรายใหญ่ ซึ่งรวมกันแล้วในหนึ่งปี เธอมีจำนวนการโอนทั้งหมด 450 ครั้ง และยอดเงินรวมตลอดทั้งปี เกิน 2,000,000 บาท
ผลลัพธ์:
กรณีของคุณนิดาเข้าข่ายที่ต้องส่งข้อมูล เพราะทั้งจำนวนครั้งการโอน (เกิน 400 ครั้ง) และยอดเงินรวม (เกิน 2 ล้านบาท) เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด ธนาคารจะต้องส่งข้อมูลธุรกรรมของคุณนิดาให้กรมสรรพากรเพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ตามกฎหมาย
สรุป: เมื่อจำนวนครั้งและยอดเงินรวมเข้าเงื่อนไขทั้งสองข้อ ธนาคารจะต้องส่งข้อมูล
การทำธุรกรรมทางการเงินเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้การวางแผนกลยุทธ์ การทำความเข้าใจบทลงโทษและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้นหากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการรายงานที่กำหนดไว้อย่างถูกต้อง จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างมั่นใจมากขึ้น การปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างครบถ้วนและโปร่งใสเป็นการป้องกันปัญหาในอนาคต วันนี้เราจะมาดูว่ามีบทลงโทษอะไรบ้างหากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการรายงาน และวิธีการป้องกัน ดังนี้
การไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการรายงาน เช่น ไม่ส่งข้อมูลธุรกรรมตามที่กำหนดหรือรายงานไม่ครบถ้วน อาจทำให้คุณเผชิญกับบทลงโทษหรือค่าปรับที่เป็นภาระของธุรกิจ โดยทั่วไปแล้ว การไม่รายงานตามกฎหมายที่กรมสรรพากรกำหนด อาจทำให้เกิดบทลงโทษดังนี้:
ค่าปรับทางการเงิน
หากไม่ส่งข้อมูลธุรกรรมที่ตรงตามเงื่อนไข กรมสรรพากรอาจเรียกค่าปรับทางการเงินตามจำนวนเงินที่ผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วนในรายงาน โดยค่าปรับนี้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงและความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
ดอกเบี้ยค่าปรับล่าช้า
หากมีการยื่นรายงานล่าช้า อาจมีดอกเบี้ยค่าปรับเพิ่มเติมจากค่าปรับเดิม ซึ่งจะคิดตามระยะเวลาที่ล่าช้าและจำนวนเงินที่ไม่ได้รายงานอย่างถูกต้อง
การตรวจสอบเชิงลึก (Audit)
หากพบการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างชัดเจน กรมสรรพากรอาจทำการตรวจสอบเชิงลึกในธุรกิจของคุณ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาระงานเพิ่มเติม เช่น การเรียกเอกสารและหลักฐานธุรกรรม การสัมภาษณ์พนักงาน และการตรวจสอบบัญชีในเชิงลึก
ความเสื่อมเสียทางภาพลักษณ์
การถูกตรวจสอบอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจได้ ในกรณีที่เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียง อาจทำให้ลูกค้าหรือคู่ค้าขาดความเชื่อมั่น ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงและความสัมพันธ์ทางธุรกิจ
ปรึกษาเพิ่มเติมที่
สำนักงานเชี่ยวชาญการบัญชี
Line Official : @Consultantbusiness
https://lin.ee/puWRLe8
📞 สายด่วน : 091-595-4995